25/2/55

ตะลอนเที่ยว (4)..ฮักนะ...สารคราม จ.มหาสารคาม (ตอนจบ)



ต่อจากบล๊อกที่แล้วนะ
^__________________________^



ฮักนะ..สารคราม (วันสุดท้าย)

            วันนี้ มีเพื่อนเรียกร้องว่าอยากจะไปปาริโอ อิตตาลีเมืองไทย
 ก็เลยเก็บของออกจากโรงแรม แวะกินข้าวเสร็จ แล้วก็เลยออกเดินทางจากตัวเมืองโคราช 
มุ่งหน้ามายังเขาใหญ่ เพื่อที่จะมาปาริโอ ไอ้เราก็ไม่รู้หลอกว่ามันคืออะไร 







พอมาถึงก็แบบอ๋อ เลย ก็มันเป็นที่ถ่ายทำละครพี่ไฟข๋า ของเรานั่นเอง (ดวงใจอัคนีเจ้าคร่ะ) 
สวยมาก แต่ไม่ค่อยมีคน เพราะว่ามันเป็นวันธรรมดา ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ ก็เลยลงไปถ่ายรูป สวยๆ 
ขอบอกว่าถ่ายรูปกันอย่างเดียว เพราะว่าซื้ออะไรไม่ได้  ร้านรวงต่างๆ จริงๆ แล้วก็น่าสนใจนะ 



ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายของแบบแนวๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มา 
จะต้องแต่งตัวกันแบบอาร์ตๆ แล้วก็พกกล้องถ่ายรูปแบบใหญ่ๆ มีขาตั้งพร้อม 
อุปกรณ์ระดับมืออาชีพ นางแบบ นายแบบ ก็แบบโพสท่ากันแบบท้าแสงแดด 
ใช้เวลาอยู่ในปาริโอนี่ก็ปากันไปเกือบ 2 ช.ม. ที่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร


 จากนั้นก็ขึ้นรถแล้วก็เดินทางกันต่อก็ว่าจะไปฟาร์มโชคชัย ปรากฏ ไปถึง เกือบ 6 โมงเย็น 
ฟาร์มเค้าก็ปิดไปละ ร้านขายของฝากก็กำลังจะปิด (เสียใจมาก อุตส่าห์มาถึง)
 ก็เลยได้ซื้อแต่พวก นมอัดเม็ดของ Umh…Milk แล้วก็ซื้อพายองุ่นเอาไว้กิน ซึ่งไหนๆ ก็มากันแล้ว ฟาร์มก็ไม่ได้เข้า ก็เลยไปนั่งกินเสต็กกันแบบสวยๆ หรูๆ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เข้าไปกินเสต็ก 
ร้านเค้าตกแต่งสวยดีนะ เหมือนกินอยู่ในป่า ถ้ากินๆ อยู่ แล้วมีงูเลื้อย ก็ใช่เลยอ่า 
 กินเสร็จก็ขึ้นรถ แล้วก็เดินทางกันต่อ ประเด็นมันเริ่มเกิดก็ตอนที่หาที่พักกันเนี่ยแหละ
 (ตั้งแต่ตอนออกเดินทางแล้ว ต่างคนต่างหวังน้ำบ่อหน้า ไม่ได้แพลนอะไร เหมารถตู้ แล้วก็คิดวันต่อวันว่าอยากไปเที่ยวไหนบ้าง คิดว่าคงจะสนุกดี เป็นไงหล่ะ สนุกจริงๆ)



 เผอิญว่า เพื่อนที่มาด้วยกันเรียน ม.บูรพา บางแสน ก็เลยให้พี่คนขับรถตู้มาส่งพวกเราที่บางแสน
นั่งกินกันต่อนิดหน่อย โห เป็นการเดินทางที่ทั้ง เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ แต่ก็สนุกดีน่ะ 
จะไปไหนมันก็สนุกทั้งนั้นแหละ ถ้าไปกับเพื่อน วันนี้ ต่างคนต่างแยกย้าย
 อาบน้ำแล้วก็เข้านอนกัน เพราะเหนื่อยมาก เมื่อคืนก็นอนน้อย

 ตกดีก ก็ออกมาลั๊ล ลา ต่อ..


เช้าอีกวันเราก็กลับกทม. แยกย้ายกันกลับหอตัวเอง
ใครอยากลองไปเที่ยวแบบลุยๆ แนะนำว่าไม่ต้องวางแพลนอะไรมากมาย
อยากไปก็ไปก็ไปเลย ไม่ต้องรอเวลา
ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก..ใช้ชีวิตให้คุ้ม จะได้ไม่เสียดาย

-จบ-


24/2/55

ตะลอนเที่ยว (4)..ฮักนะ...สารคราม จ.มหาสารคาม (ตอน1)



ฮักนะ...สารคราม (วันที่ 1)

            ทริปนี้มาเที่ยวที่จังหวัดมหาสารครามกับบรรดาเพื่อนๆ ที่น่ารัก 
เดินทางมาโดยรถตู้ส่วนตัว ผ่านทางเขาปรักมา โห.. น่ากลัวมาก
จำได้ว่ามีอยู่จังหวะนึง ตอนพี่รถตู้จะขับแซงสิบล้อข้างหน้า ปรากฏมีสิบล้ออีกเลนนึงวิ่งสวนมา
 ทุกคนบนรถกรี๊กร๊าดด้วยความตกใจ หวิดไปนิดเดียวเองอ่า เล่นทำเอาหลับไม่ลงกันทั้งคัน
พอพ้นจากช่วงเขาปรักมา ก็แวะกินข้าวร้านอาหารข้างทาง เราสั่งผัดหมี่โคราชมากิน
อร่อยอะ แต่ก็คล้ายๆ กับผัดไทยเส้นจันทร์แหละ


พออิ่ม ก็เดินทางกันต่อ จนมาถึงจังหวัดมหาสารคาม ก่อนมาจังหวัดนี้เคยได้ยินมาว่าจังหวัดมหาสารคามได้รับการโหวตว่าเป็นจังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย
พอมาถึงก็รู้เลยว่าทำไม มันเป็นจังหวัดที่เงียบมากๆ ไม่ค่อยมีอะไร
ตึกราบ้านช่องก็ไม่ใหญ่โตเท่ากับที่โคราชเมืองย่าโม ที่เคยไปมา 
ห้างสรรพสินค้าเท่าที่ได้ไปเดินก็มีแค่ เสริมไทย ซึ่งเป็นห้างเก่าแก่ของที่นั่นอ่า 
(ประเด็นคืออยู่ใกล้ที่พักด้วย) จากนั้นก็ไป เช็คอิน เข้าพักที่โรงแรม ตักศิลา 
ซึ่งเห็นบอกว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดของที่จังหวัดแล้ว พอจัดข้าวจัดของเสร็จ ก็เย็นพอดี 
ใช้เวลาเดินทางกว่า 10 ช.ม. (จริงๆ ไม่น่าถึง 8 หรอก แต่ว่าแวะบ่อย ^^)
 เผอิญว่าช่วงที่ไปนั้นมีงานกาชาด พอดี ก็เลยชวนเพื่อนๆ ไปเดินเล่นงานกาชาดกัน
กะว่าจะเดินกันไปเพราะคิดว่าคงอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เพราะพี่พนักงานโรงแรมบอกว่า
ไม่ไกลจากนี่ เดินไปได้ ปรากฏว่า เกือบกิโลคะ กว่าจะถึงงานก็ลมจะจับ 
แต่ก็สนุกดี พอมาถึงหน้างาน มีอีกเรื่องที่ต้องประหลาดใจมาก 
ไม่เคยเจอมาก่อน นั่นก็คือ ต้องเสียเงินค่าบัตรเข้างานกาชาด 
โอ้มายก๊อด เกิดมาไม่เคยเจอ คนละ 20 บาท ก็เลยจ่ายๆ กัน 
แล้วก็เดินเข้ามาในงาน งานใหญ่มากๆๆๆๆ เดินไปเดินมา มาเจอวงเวียน 
แล้วมีแยก 4 แยก บรรดาสาวสวยกว่า สิบชีวิตก็งงไปตามๆ กัน หลงไป หลงมา 
จนกลับมาทางออก ก็เลยว่าจะไปหาอะไรกินกัน เดินไปเดินมา 
สุดท้ายมาจบตรงที่มานั่งกิน Hot Pot ที่ห้าง เสริมไทย ที่อยู่ข้างๆ โรงแรม 
(ชีวิต! ไปถึงมหาสารคาม ไปกิน Hot Pot) พอกินเสร็จ ก็ต้องลากร่างของแต่ละนางกลับโรงแรม
 เหนื่อยมาก พอถึงโรงแรม ก็แยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมัน

^______________________________________^

ฮักนะ...สารคราม (2)

            ตื่นตั้งแต่เช้าแปดโมง ไม่ใช่อะไร ต้องลงมากินอาหารเช้าของโรงแรม 
เพราะเค้าจะปิดครัวตอน 9 โมง ด้วยความที่งกลงตับ ก็ลากกันลงมารับประทานอาหารเช้าสุดหรู
 มีทั้งไทยสไตล์ อเมริกันสไตล์ ระลานตาไปหมด วันนี้มีแพลนไปเที่ยววัดพระธาตุนาดูนกัน 


เค้าว่ากันว่าใครมาจังหวัดมหาสารคามแล้วไม่มาวัดพระธาตุนาดูน เหมือนมาไม่ถึง 
มีหรือที่เราจะพลาด แต่พี่คนขับรถบอกว่า ทางไปพระธาตุนาดูนอ่า มันเป็นเหมือนทางที่จะกลับแล้ว
ก็เลยตัดสินใจกันว่า เดี๋ยววันนี้จะอยู่เที่ยวที่มหาสารคามอีกแค่วันเดียว 
แล้วเดี๋ยวก็ลงไปนอนที่โคราชกัน พอกินข้าวเสร็จ ก็เลยไปเก็บของ 
แล้วก็ออกเดินทางไปพระธาตุนาดูนกัน พอไปถึงก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะว่าแดดร้อนมาก 
ผิดกับอากาศที่เย็นๆ เค้าว่ากันว่าที่มหาสารคามมักจะเป็นแบบนี้แหละ วันนึงมีสามฤดู ตอนเช้าร้อน 
ตอนกลางวันฝนตก ตอนเย็นหนาว เห้อ! ปวดหัวแทน แต่ก็สวยดีนะ
 องค์พระเจดีย์ใหญ่มาก แต่ด้วยความที่อากาศร้อนๆ หนาวๆ ก็เลยได้แค่ไหว้ แล้วก็กลับขึ้นรถเลย 


แล้วเดินทางต่อกัน  (แอบเสียดายอยู่นิดๆ) พี่คนขับก็มุ่งหน้าไปโคราชเลย
 พอมาถึงจังหวัดโคราชนะ เห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง ทั้งๆ ที่จังหวัดก็ติดกัน (หรือเปล่า) 
ที่โคราชเจริญมากๆๆๆ เราเลยแวะไปสักการะย่าโม ซึ่งเป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้ไปสักการะ 
 มาถึงก็เย็นแล้ว หิวด้วย ก็เลยไปหาส้มตำกิน แล้วก็ไปหาที่พักนอนกัน 
คราวนี้ขอแบบธรรมดา งบน้อยๆ แล้วแยกย้ายกันไปนอน ^^ 

^______________________________________^


เดี๋ยวมาต่อ บล๊อกหน้า เรื่องมันยาวมากกกกก ! 


ตะลอนเที่ยว (3)..ทริปประจวบฯ


ทริปประจวบฯ

  เวลาถามใครว่าชอบไปเที่ยวไหน เรามักได้รับคำตอบว่า "หัวหิน" 
ก็เลยอยากรู้มาก ว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ มันมีดียังไงคนถึงชอบมาเที่ยวเยอะ
ก็เลยชวนครอบครัว คือ พ่อ แม่ และพี่ชาย มาเที่ยวดู โชคดีที่ทุกคนว่างตรงกัน ก็เลยได้มา
(เล่าคร่าวๆนะ จำไม่ค่อยได้ มันนานมากกกกกกกแล้ว)


พอมาถึงก็มาสักการะหลวงปู่ทวดก่อน ที่วัดห้วยมงคล เป็นวัดที่ใหญ่มาก

พอเข้ามานะ นอกจากจะมีหลวงปู่ทวดให้สักการะแล้ว 
ก็ยังมีพระบรมรูปทรงม้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 
และก็ รูปปั้นของพระพิฆเนศ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม 
ที่เรานั้นนับถือ เคารพ บูชาทั้งหมดเลย ดีใจมาก ก็เลยไหว้ทั้งสามองค์เลย



ต่อด้วยการมาทะเล ชื่อหาดอะไรก็จำไม่ได้
รู้แต่ว่าสวยงามมากกกก น้ำใสปิ๊ง อยากจะวิ่งลงทะเลตอนนั้นเลย ติดที่คนค่อนข้างเยอะ
และแดดก็มันร้อนมาก ถึงมากที่สุดด้วย ก็เลยได้แต่นั่งกินของอร่อยๆ ริมทะเล
เก็บบรรยากาศ และถ่ายภาพสวยๆ ไว้เต็มเมมกล้องเลย 555





 พอเช้าอีกวันก็ไปเที่ยวที่ตลาดเพลินวานต่อ
มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า ที่มาของชื่อตลาดเพลินวานนั้นมาจากการที่เจ้าของของตลาดเพลินวาน
 เค้าเป็นเกย์ เค้าเลยตั้งชื่อตลาดว่า เพลินทวาร แต่ว่าคนแถวนั้นก็เรียกกันจนเพี้ยนมาเรื่อยๆ
จนกลายเป็นเพลินวาน เราว่า คงเป็นตำนานที่ไม่มีความจริงอยู่เลยมากกว่า 
ไร้สาระมาก แต่ก็แอบเชื่อนะ 55






ก็เป็นตลาดที่จำลองบรรยากาศเก่าๆ 
ของประเทศไทยเอาไว้ได้อย่างน่ารักมากเลย มีมุมให้ถ่ายรูป 
ร้านขายของต่างๆ ที่ไม่ได้เห็นกันตามท้องตลาดหรือห้างสรรพสินค้า 
เช่น ร้านขายแผ่นเสียง ร้านขายของเล่นเก่าๆ เราก็เหมือนได้ย้อนยุคไปตอนเด็กๆ 
เดินอยู่ได้เกือบ 2 ช.ม. ได้ของติดไม้ติดมือมาเต็มเลย ถ่ายรูปไปอีกหลายโหลเลย







ตกบ่ายก้เดินทางกลับบ้าน ถึงมาเที่ยวได้สองวัน แต่ก็คุ้มนะ ชอบมาก สนุกมาก
ยิ่งมากับครอบครัวยิ่งสนุก ไว้ทำงานมีเงินเดี๋ยวจะกลับมาใหม่นะหัวหิน
บ๊ายยย บายยย !


ตะลอนเที่ยว (2)..ให้อาหารแกะ @สวนผึ้ง จ.ราชบุรี



ครั้งหนึ่งมีโอกาสได้มาเที่ยวที่จังหวัดราชบุรี  
ทริปนี้มากับครอบครัวเมื่อตอนก่อนเข้าปี มั๊ง ถ้าจำไม่ผิด 

^________________________________________^


ราชบุรี...ใครว่ามีแต่โอ่ง
               
พูดถึงราชบุรี ใครๆ ก็จะต้องนึกถึงโอ่งราชบุรี ซึ่ง ตั้งแต่เรามาราชบุรี ยังไม่เห็นโอ่งสักใบเลย 
อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เข้าไปในตัวเมืองก็ได้มั้ง คือเราเที่ยวที่ อ.สวนผึ้งอะ 
ระหว่างทางที่ผ่านนั้นก็จะพบกับรีสอร์ท หรือ ร้านรวงต่างๆ มากมาย 
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตกแต่งตามสไตล์เมดิเตอร์ริเนียน 


ซึ่งก็ดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพ ให้ลงไปแวะเวียนถ่ายรูปตามๆ กัน 
ซึ่งที่ที่เราไปคือ The Scenery Vintage Farm ไปให้อาหารแกะ ซึ่งเสียค่าเข้าชมก่อน คนละ 35 บาท 
ซึ่งบัตรผ่านประตูนี้ จะมีหางบัตร สามารถนำไปแลกหญ้าได้ 1 กำ เอาไว้ให้อาหารแกะได้ 
อากาศก็ร้อนตามสไตล์เมืองไทยอยู่แล้ว ซึ่งการเข้าชม เราจะไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปในส่วนของ
ที่เป็นรีสอร์ทที่พัก ซึ่งเค้าว่ากันว่า สวยมากๆๆ แต่ไม่เป็นไรเราเที่ยวชมข้างนอกก็พอ 


ซึ่งพอเราเข้ามาก็จะพบกับร้านขายของที่ระลึก ก็เข้าไปเดินดูนู่นดูนี่ ตามประสาคนที่อยากตากแอร์ ^^
  เมื่อเราพร้อมแล้ว ก็ออกมาจากร้าน แล้วก็เดินลงมาตามสนามหญ้าซึ่งจะมีรูปปั้นแกะ 
ให้ถ่ายรูปเล่นกันด้วย  เดินมาจนถึงกรงแกะ ซึ่งเป็นสนามหญ้าใหญ่มาก
 เราก็เลยเอาหางบัตรไปแลกอาหารแกะ แล้วก็เข้าไปให้มัน  มันตัวใหญ่มากๆๆๆ


 แต่ละตัวก็วิ่งตรงมาที่เรา เพราะมันเห็นว่าเรามีหญ้าอยู่ในมือ 
เจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าแกะที่นี่จะเป็นแกะพันธุ์เนื้อ คือเลี้ยงไว้เอาเนื้อไปทำอาหาร 
ไม่ได้เลี้ยงไว้ตัดขนไปทำเสื้อผ้า ถึงว่าขนมันแบบ ไม่ฟู เหมือนกับเกมส์ Harvest Moon ที่เราเคยเล่นเล
^^ ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าให้อาหารแกะมันสนุกดี มันสนุกตรงที่เราหลอกให้มันวิ่งตามเนี่ยแหละ
 แล้วหน้ามันตอนมันกินหญ้าน่ะ แบบ ตาเหลือก ตาปริ้นอ่า น่ารักดี ซึ่งเมื่ออาหารหมดแล้ว เราสามารถซื้อหญ้าเพิ่มได้ กำละ 20 บาท สรุปเสียเงินกับอาหารแกะไป เกือบร้อยบาท 
ข้างๆ กับคอกแกะ ก็จะมีร้านขายของฝากอีกหนึ่งร้าน 
ซึ่งข้างหน้าก็จะมีเป็นไอศกรีม กับน้ำชาผสมน้ำผึ้งให้ได้ดื่มกัน 


ที่ อ.สวนผึ้งนี้ ดังมากเรื่องน้ำผึ้ง ตามชื่อของอำเภอแหละคะ เพราะว่าแต่ก่อน
 ที่นี่จะมีต้นไม้อยู่ต้นนึงซึ่งมีอยู่เยอะมากในบริเวณนี้ ซึ่งผึ้งชอบมาทำรังกัน 
ชาวบ้านก็เลยนำมาทำน้ำผึ้งกันเป็นล่ำเป็นสัน แต่ปัจจุบันต้นไม้นี้ไม่ค่อยพบแล้ว 
อาจเป็นเพราะการมาของบรรดารีสอร์ทก็เป็นได้นะคะ ซึ่งเราก็เลยลองซื้อดื่มดูสัก 1 แก้ว ราคาประมาณ 25 บาท ก็ชื่นใจดี จากนั้นก็เข้าไปซื้อโปสการ์ดสวยๆ สักใบ แล้วก็ส่งไปให้แม่ที่บ้าน
 (ตอนนั้นคิดถึงแม่มากๆ เลย) จากนั้นหาซื้อเสื้อสักตัวเป็นของฝากให้ตัวเอง 
แล้วก็ออกจากฟาร์ม ระหว่างทางแวะทานอาหารที่ร้านครัวม่อนไข่ อาหารอร่อยดี 
โดยเฉพาะยำผักกูด กับ เห็ดโคนญี่ปุ่นผัดน้ำมันหอย 


พอกินกันจนอิ่มก็เดินเดินทางต่อไป
ยังบ้านเทียนหอม ซึ่งอยู่ในอำเภอเดียวกัน บรรยากาศก็ดี เหมือนตั้งอยู่บริเวณเนินเขา 
ซึ่งที่บ้านหอมเทียนนี้ เราจะได้พบต้นไม้ที่ผึ้งชอบอยู่นั้น (ไม่รู้ชื่ออะไร) อยู่ด้านหน้าเลย
 เค้าบอกว่าหาดูได้ยากมาก จากทางเข้าไปเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะมีที่ให้แวะถ่ายรูป ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ทุกอย่างทำมาจากเทียนทั้งหมดเลย แม้กระทั่งคนขาย (อันนี้ก็เวอร์ไปนะ) 



พอเข้ามาด้านใน ขอบอกว่าสวยมาก บรรยากาศก็ดีนะ ติดตรงเหม็นควันเทียนไปหน่อย
 แล้วก็อากาศมันก็อบอ้าวด้วยแหละ ก็เลยเวียน ๆ หัว เดินขึ้นไปเรื่อยๆ 
ก็มีที่ที่ให้เราสามารถทำเทียนด้วยตัวเองด้วยนะ น่ารักดี ราคาก็ประมาณ 200 – 400 บาท


                ซึ่งต้องขอบอกว่าทริปการมา ราชบุรีในครั้งนั้นสนุกมาก 
จริงๆ แล้วการไปท่องเที่ยวนั้น มันไม่จำเป็นจะต้องแบบ หวือหวา มากมาย
 บางทีการที่เราได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติบ้าง อาจจะมีร้อนบ้าง อะไรบ้าง
 แต่มันก็คือธรรมชาติของเรา มันก็ทำให้เราได้รับความสนุกสนานเหมือนกัน
 แถมได้ความรู้อะไรต่างๆ ไปเยอะแยะเลย 
ไว้เดี๋ยวทริปหน้า เราเคยไปเที่ยวไหนมาบ้าง เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ


23/2/55

ตะลอนเที่ยว (1)..พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จ.เพชรบุรี



ห่างหายจากการอัพบล๊อกไปพอสมควร เนื่องจากงานเยอะมากกกกกกกกกก
วันนี้ยังพอมีเวลา ก็เลยมาอัพบล๊อกดีกว่า
แต่ไม่รู้ว่าจะอัพอะไรดี จะให้เล่าเรื่องราวส่วนตัวก็กะไรอยู่ 
ก็เลยคิดว่า จะอัพเกี่ยวกับประสบการณ์การไปเที่ยวของเราในต่างจังหวัด 
เผื่อว่าบางคนกำลังมีแผนจะไปเที่ยว หรือว่าเคยไปเที่ยวมาแล้วก็เอามาแชร์ประสบการณ์กัน

เราเลยจัดทำบล๊อกชื่อว่า "ตะลอนเที่ยว" ซึ่งนี่เป็นบล๊อกแรก 
สิ่งที่เราพบเจอมาจะเป็นยังไงนั้น ไม่ดูกันดีกว่า..

^____________________________________________^

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน


เป็นวังที่สร้างขึ้นในรัชสมัย ของรัชกาลที่ 6 มีประวัติยาวนานมาก เราเองก็จำไม่ได้ ^^ 
ซึ่งการที่เราจะเข้าไปชมพระราชวังนั้น สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งนั่นคือการแต่งกาย
โชคดีที่เราติดกระโปรงยาวไปหนึ่งตัว เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าข้างหน้าทางเข้าเข้มงวดมาก ดุด้วย 
แต่เราก็สามารถผ่านเข้ามาได้ (เยส!) ต้องขอบอกว่าข้างในนั้นสวยงามมาก เข้ามาถึงก็จะพบกับสวน
สไตล์ฝรั่ง (คล้ายๆ กับ อลิส อิน วอนเดอร์แลน) มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง สวยงามมาก เดินถัดไปอีกหน่อย
ก็จะเริ่มเห็นตัวอาคารแล้ว ซึ่ง ระหว่างทางเดิน จะพบเจอกับสนามหญ้าที่สวยงามมากๆ เขียวขจี 
ซึ่งเค้าห้ามเดินลัดสนามโดยเด็ดขาด 


เมื่อเดินผ่านสนามหญ้าไปแล้วก็จะพบกับตัวอาคารที่สวยงาม ใหญ่โต โอ่อ่า สมกับเป็นวัง 
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รับการอนุญาตให้ขึ้นไปเดินข้างบนของตัววังนั้น 
(ตัวอาคารสร้างแบบลักษณะยกใต้ถุนสูง มีทางเดินเชื่อมต่อถึงกันทุกตึก) เราก็ยังสัมผัสได้ถึ
ความสวยงาม และที่สำคัญ ร่มลื่นมาก


ตอนก่อนจะเข้ามาได้คุยกับคนคุม ถามว่า มฤคทายวัน แปลว่าอะไร 
(กล้าๆ กลัวๆ แต่เค้าก็ใจดีมาก ที่ตอบ และให้อธิบายอย่างละเอียด)
 คนที่ดูแลบอกว่า มฤค (อ่านว่า มะ-รึก) แปลว่า กวาง 
ก็เลยทำให้สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของวังนี้คือจะเป็นรูปกวาง 
เค้าบอกว่าแต่ก่อน ที่ตรงนี้เคยมีกวางอาศัยอยู่เยอะ ก็เลยตั้งชื่อตามนั้น และยังเล่าให้ฟังถึงประวัติคร่าวๆ ของที่แห่งนี้ว่า เป็นที่ใช้ในการพำนักของพระมเหศรี ของ ร.
ในขณะที่ทรงตั้งครรภ์ ให้ท่านได้ทรงพักผ่อน หย่อนใจ สูดอากาศบริสุทธิ์
 ถือว่าเป็นวังแห่งความรักของ รัชกาลที่ 6 ก็ว่าได้ ซึ่งการที่เราเข้ามาในวังนี้ แน่นอนว่า 
จะมาฉีกแข้ง ฉีกขา ถ่ายรูปเล่น ไม่ได้เด็ดขาด จะต้องสำรวมกาย วาจา ใจ ซึ่งต้องขอบอกว่าทำได้ยากมาก T_T แต่ก็มิใช่ว่าจะถ่ายรูปกลับไปไม่ได้นะ ^^ 




เดินจนทั่วทั้งวัง เมื่อยมาก เพราะว่าใหญ่มาก ก็เลยเดินกลับกัน ทางออกก็จะอยู่ทางเดิม ซึ่งจะมีขนม และน้ำ จำหน่ายอยู่ และมีร้านของที่ระลึก ซึ่งน่ารักมากๆ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ หมวก หนังสือต่างๆ 
แต่สิ่งที่พิเศษนั่นก็คือ ที่นี่มีการทำขนมไทยมงคลจำหน่ายนั่นก็คือ จ่ามงกุฎ ทองเอก เสน่ห์จันทร์ ซึ่งหากินยากมาก ก็เลยซื้อมากินอย่างละกล่อง อร่อยมากๆๆๆๆๆ 
ต้องขอบอกไว้ก่อนเลย ว่าเค้าทำกับแบบ Hand made น่ะจ๊ะ รับรองว่าอร่อยชัวร์ 
ได้กินขนมอร่อยๆ จิบน้ำเย็นๆ ก็ช่วยให้หายร้อยได้เป็นอย่างดี 
เมื่อนั่งพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว ก็เป็นเวลาของการเดินทางไปประจวบฯ 
เพื่อเข้าค่ายดูดาว ทริปนี้ไปกับเพื่อนตอน ม. 6 ถูกบังคับให้ไปอ่ะ  ^o^
แต่โครตดีใจเลยที่ตัดสินใจมา สนุกมากกกกกกก จริงๆ........