17/2/55

เขาพระบาทพลวง



"เขาพระบาทพลวง"

ใครกำลังมองหาที่เที่ยวแบบอิ่มบุญอิ่มใจละก็ 
เราขอแนะนำที่นี่เลย ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งผจญภัย สนุกมาก
เราไปทุกปี เพราะมันอยู่บ้านเราอ่านะ อิอิ แต่ปีนี้คงไม่ได้ไป
งานเยอะ ไม่มีเวลา ,, มีเวลาหายใจก็นับว่าเป็นบุญละ 55(เอาคำพูดเพื่อนมา) 



เราก็ไม่รู้ประวัติของที่นี่หรอก ถ้าอยากรู้เราแนะนำ "Google" ละกันนะ !
เอาเป็นว่า เราจะแชร์ประสบการณ์ให้อ่านละกัน มันน่าจะมีประโยชน์กว่าการมาอ่านประวัติอ่ะ
ที่สำคัญอาจจะช่วยในการตัดสินใจของคนหลายคนที่กำลังจะไปเที่ยวก็ได้ 
ก่อนอื่นการจะขึ้นเขาไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเนี่ย
มันมีอยู่สองทางด้วยกันคือ 1) นั่งรถ และ 2) เดิน .. เราเคยทั้งสองวิธีละ เด่วจะเล่าให้ฟัง

1) นั่งรถ - นั่งรถกะบะมีแซงสองข้อง (แซงคือเหล็กกั้น) ขึ้นไปถึงจุดจอดรถด้านบนสุด
แล้วเดินต่อไปอีกสักระยะ จะถึงรอยพระพุทธบาท มีหินก้อนใหญ่ๆ มีโรงนอนสำหรับคนมาไกล
มีของกินขาย(ราคาค่อนข้างแพง แต่ก็เอาเถอะ กว่าเขาจะแบกของขึ้นไปให้เราได้ก็ลำบากใช่เล่น)
จะนั่งรถ 2 ต่อ ต่อแรก 50 บาท ต่อหลัง 40 บาท ไปกลับก็รวมกัน 180 บาท อย่าเพิ่งคิดว่าแพงนะ ต้องไปเห็นเส้นทางก่อนถึงจะรู้ว่ามันสมเหตุสมผล ถนนเป็นดินแดง ต้องใช้คนขับรถที่เก่งมากๆ ไม่งั้น ตกเขาตายแน่ ! จะนั่งรถต่อเดียว แล้วเดินอีกต่อก็ได้ไม่ว่ากัน
เทคนิคการรอขึ้นรถ ตามคิวนั่นแหละ แต่ก็มีพวกชอบลัดคิว แทรกคนอื่น เราก็ต้องจับกลุ่มกันไว้แล้วทำตัวให้อยู่ใกล้รถมากที่สุด พอล้อรถหยุดปั๊บ เราก็โดดขึ้นเลย ถ้ามัวแต่เป็นคนดี ชาตินี้ก็ไม่ได้ขึ้นรถ และที่สำคัญ คนเยอะมาก พยายามอย่าหลงกับเพื่อนเด็ดขาด !

2) เดิน - ถ้าคิดจะเดิน ต้องแน่ใจว่าตัวเอง "ไหว" เพราะมันไกลมาก ตอนที่เราเดินก็เดินจากเขื่อน(ต้นทาง) ขึ้นจนถึงผ้าแดง(สุดทาง) ทั้งเดินตามถนน ต้องคอยหลบรถให้ดีดี เดินในป่า ต้องมีไฟฉาย เพราะมืดมาก จะมีที่ให้นั่งพักตลอดทาง มีร้านค้ากลางทาง ใส่รองเท้าผ้าใบดีที่สุด พยายามอย่าใส่ยีนส์ มันลำบาก ที่สำคัญในการเดินเข้าป่า ห้ามบ่น ได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่น อะไร ห้ามทัก ! เดินไปก็คอยดูเพื่อนด้วยว่าเขาหายไปหรือเปล่า ? ...ถ้าใครเดินตั้งแต่แรกถึงสุดท้ายนะ สุดยอดมาก มากๆๆๆๆๆ เลยหละ 

ระหว่างจุดที่ต่อรถ จะมีอะไรๆ ให้ทำบุญเยอะเลย ก็ทำตามศรัทธาละกันนะ


เรื่องอาหารการกินก็มีขาย แต่ไม่เยอะ ส่วนใหญ่ก็น้ำ ขนม ราคาก็อย่างที่บอก ค่อนข้างแพง
คนเยอะมาก โดยเฉพาะ เสาร์-อาทิตย์ จะทำอะไรก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะ อย่าเพิ่งใจร้อน
ใครมาถึงตอนกลางคืน แนะนำให้ไปนั่งรอบนลาน ฮ. มันหนาวววววมากกก เห็นพระอาทิตย์ขึ้นชัดเจนด้วย 

           สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติเขาคิดชฌกูฎ โทร. 0-3945-2075, กิ่งอำเภอเขาคิดชฌกูฎ โทร. 0-3945-2437 หรือ องค์การบริหารส่วนตำบลพลวง โทร. 0-3930-9281

16/2/55

นศ.มีความรู้ภาษาอังกฤษเทียบเท่าเด็กประถม !



เรื่องราวในวันนี้อาจจะเป็นทางการไปนิดหน่อย ไม่มีเรื่องไร้สาระจะอัพแล้ว 55
พอดีเพิ่งทำงานเขียนรายงานพิเศษส่งอาจารย์ไป เลยเอามาโพสให้อ่านกัน 
มันเป็นความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับเลยหละว่าเรา "อ่อน" จริงๆ
ลองอ่านดู อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุด แต่ก็ตั้งใจเขียนอย่างดีที่สุดแล้ว




ความรู้ภาษาอังกฤษ
ของนักศึกษาเทียบเท่าเด็กประถม

ภาษาอังกฤษ”  ถือว่าเป็นภาษากลางที่คนทั่วโลกควรจะใช้ให้ได้ และเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยสำหรับโลกไร้พรมแดนในยุคนี้ เพราะเป็นภาษาที่สำคัญมากที่หลายประเทศทั่วโลกใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่รัฐบาลบังคับวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่คนไทยอีกจำนวนมากสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลย


ในหลายปีที่ผ่านมา ระบบการศึกษาของไทยได้ให้ความสำคัญกับการสอนภาษาอังกฤษมากขึ้น เห็นได้จากการเปิดสอนหลักสูตรสองภาษาในห้องเรียน หรือการจ้างครูสอนอังกฤษจากเจ้าของภาษาโดยตรง แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นไปตามความคาดหมาย เพราะเด็กไทยไม่ได้ให้ความสนใจหรือฝึกฝนมากเท่าที่ควรจะเป็นเพราะคิดว่าไม่ใช่ภาษาบ้านเรา หรือแม้กระทั่งนักศึกษาระดับปริญญาก็ยังมีพื้นฐานด้านภาษาอังกฤษน้อยมากและไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษอีกด้วย

พูดถึงการสอนภาษาอังกฤษในระดับอุดม ศึกษาหรือมหาวิทยาลัย  อาจารย์ส่วนใหญ่พอมีทักษะความรู้ในการสอนในระดับที่ดี  แต่อาจารย์มหาลัยหลายท่านที่มีทัศนคติว่า การสอนนักศึกษาที่มีวัยวุฒิมากพอคงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปคอยใส่ใจทีละคนๆ เหมือนกับเด็กประถม จะเข้าใจภาษาอังกฤษได้มากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องของนักศึกษาเอง จึงไม่ให้ความสำคัญกับการสอนมากนัก และอีกหนึ่งปัจจัยคือการคัดสรรหาคนที่จะมาสอนภาษาอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัยนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะหนึ่งการเป็นครูได้ผลตอบแทนน้อย และสองคนที่เข้าใจภาษาอังกฤษและสามารถสอนให้เข้าใจได้จริงๆ นั้นหายาก

เรื่องทักษะด้านการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยปัจจุบันยังถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์ เนื่องจากนักศึกษาไทยส่วนใหญ่จะชอบการท่องจำ และเรียนเพื่อให้ได้คะแนนสอบมากกว่า ซึ่งไม่ต่างจากเด็กประถมหรือมัธยมแต่อย่างใด แต่เรื่องการฟังหรือพูดไม่สามารถทำได้เลย และเมื่อเรียนจบมักมีปัญหาในการสื่อสารและการสมัครเข้าทำงาน เพราะสมัยนี้บริษัทหลายแห่งเปิดต้อนรับแต่นักศึกษาที่เก่งภาษาอังกฤษเท่านั้นหรือบางบริษัทจะพิจารณาเรื่องภาษาอังกฤษก่อนที่จะดูผลการเรียนเสียอีก เข้าทำนองที่ว่า “ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง แค่พูดอังกฤษได้ก็พอ เรื่องอย่างอื่นสามารถฝึกทีหลังได้” ประมาณนั้น

มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เด็กไทยไม่เก่งอังกฤษ 1. ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ จึงไม่มีพื้นฐานทางภาษาหรือมีการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่แรก ส่วนประเทศที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ต่างก็มีพื้นฐานด้านภาษามาแล้วทั้งนั้น จึงไม่แปลกหากเด็กไทยจะขาดพื้นฐานความรู้ในด้านนี้ 2. ใช่ว่าเด็กไทยจะไม่เก่งภาษาอังกฤษฝ่ายเดียว ผู้ใหญ่หลายท่านโดยเฉพาะอาชีพครู ก็พูดหรือเขียนอังกฤษได้ไม่คล่องเช่นกัน และครูเองก็ไม่รู้ถึงวิธีการพูดอังกฤษอย่างถูกต้อง จึงไม่กล้าที่จะสอน ก็เลยสอนไม่ได้ และยังคงใช้วิธีการสอนแบบเดิมๆ คือสอนตามตำรา หรือการท่องศัพท์แปลอังกฤษเป็นไทย 3. การเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทยถือว่ายังไม่ตรงเป้าหมายนัก เพราะเด็กได้รับการสอนแบบท่องจำมากกว่าการสอนแบบพูดเพื่อความเข้าใจ 4. ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาพื้นฐานของคนไทย เมื่อเวลาคนไทยพูดอังกฤษ มักถูกคนรอบข้างมองว่าเป็นเรื่องตลก ทำให้เด็กไทยไม่กล้าพูดอังกฤษ ไม่กล้าออกสำเนียง และก็เลิกพูดในที่สุด 5. เด็กไทยเรียนภาษาเพื่อการสอบอย่างเดียว ไม่ได้เรียนเพื่อการสื่อสารหรือการดำรงชีวิตแต่อย่างใด จึงไม่ให้ความสำคัญมากนัก

นางสาวรัตนาพร กุลกิจ นักศึกษาปี 1 สาขาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.สวนสุนันทา กล่าวว่า “โดยส่วนตัวชอบภาษาอังกฤษแต่ไม่เก่ง จึงเลือกเรียนสาขานี้เพื่อเพิ่มความรู้ให้กับตัวเองและคิดว่าภาษาอังกฤษเป็นเรื่องจำเป็นมาก ยิ่งในสังคมที่เจริญขึ้นทุกวัน มันทำให้เรามีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น บางคนมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อจึงไม่สนใจ แต่จริงๆแล้วไม่ยากเลยหากเราตั้งใจ แค่เรากล้าพูด อย่าอาย จะผิดจะถูกค่อยว่ากัน จำคำศัพท์ให้เยอะๆ เราไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งประโยค รู้เพียงบางคำในประโยค ก็ทำให้เข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้ ฟัดฟังหรือพูดบ่อยๆ ให้ชิน อย่างเช่นเวลาดูหนังฝรั่ง ก็อาจจะเลือกดูระบบ Soundtrack เราจะได้ทั้งคำศัพท์และสำเนียงเลยคะ”

นายประไณย สร้อยสังวาลย์ นักศึกษาชั้นปี 3 คณะเกษตรศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ (บางเขน) เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ เขาพูดถึงความสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตจริงว่า “ตอนแรกผมคิดว่าการมาเรียนเมืองนอกคงไม่ยากอะไร เพราะเรามากับเพื่อนคนไทยด้วยกัน เรื่องภาษาอังกฤษคงไม่สำคัญนัก ผมจึงไม่ได้เตรียมตัวมาเลย แต่พอผมมาใช้ชีวิตที่เมืองนอกจริงๆ ผมถึงได้รู้ว่า ภาษาอังกฤษมันสำคัญกับการใช้ชีวิตในต่างแดนมากๆ เพราะเราไม่ได้อยู่กับเพื่อนตลอดเวลา และอีกอย่างผมไม่สามารถไปไหนได้เลยถ้าไม่มีเพื่อน ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดเราต้องรู้คำศัพท์เป็นร้อยๆ คำถึงพอจะพูดแบบถูไถได้ แต่การสื่อสารแบบถูไถไปในแต่ละครั้งมันได้ผลก็จริง แต่มันเป็นการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ และมันทำให้ผู้ที่รับสารจากเรา ตอบสนองเราผิดวัตถุประสงค์  ผมต้องเริ่มเรียนรู้ศัพท์ทุกวันๆ หลังเลิกเรียน เมื่อสัมผัสกับศัพท์เหล่านั้นบ่อยๆ ผมก็ใช้มันได้อย่างอัตโนมัติ  หลายคนชอบคิดว่า โครงสร้างของภาษาไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วสำคัญมากๆ อยากจะแนะนำให้คนที่อยากพูดอังกฤษเก่งๆ แค่เริ่มจากการใช้ is am are หรือ verb ช่วยให้ถูกต้องเท่านั้น ฝึกฝนบ่อยๆ เพราะถ้าวันหนึ่งมีโอกาสดีดีเข้ามาหาเรา แต่เรากลับชวดโอกาสนั้นไปเพียงเพราะสอบตกเรื่องภาษา ก็คงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากครับ”

Ms.Jennifer Cator&Mr.Glen Milton Craigie  อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ประจำสาขานิเทศศาสตร์ และเป็นเจ้าของภาษาโดยตรง ให้ความเห็นในเรื่องนี้คล้ายๆกันว่า เหตุที่ทำให้นักศึกษาไทยด้อยภาษาอังกฤษเพราะเด็กไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ให้การบ้านก็ลอกเพื่อนมาส่ง ไม่มีความขยันและใฝ่รู้ในด้านนี้ เหมือนเป็นการกั้นกำแพงให้กับตัวเอง ควรจะพยายามและใส่ใจมากกว่านี้ถามถึงเทคนิคในการสอนให้นักศึกษาเข้าใจ? “เริ่มสอนจากขั้นพื้นฐานที่สุด สอนในเรื่องง่ายๆ แต่นักศึกษาก็ยังไม่เข้าใจ และตนพยายามถามนักศึกษาในสิ่งที่ไม่เข้าใจ แต่นักศึกษาเองไม่เข้าใจคำถาม และก็ไม่เคยถามอาจารย์ในสิ่งที่สงสัยจึงไม่ได้คำตอบ พอไม่มีคำตอบ ก็กลายเป็นความไม่เข้าใจต่อไป”


โพสนี้ดูเป็นคนมีสาระขึ้นมาทันตาเห็น 555
เจอกันโพสหน้า จะพยายามหาเรื่องเบาสมองมาให้อ่านเน้ออ !

14/2/55

ทริปเชียงคาน 9-11/12/11

หลังจากเคลียร์งานเสร็จไปสองอย่าง รู้สึกว่างๆ 
เลยมานั่งดูรูปในคอมฯ ไปเรื่อย..ดูไป ดูมา มาเจออยู่อัลบั้มนึง 
เห็นแล้วก็คิดถึงมากก อยากจะกลับไปอีกจัง..
และเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการคิดถึงความหลัง ก็เลยมาอัพ Blog ไปพร้อมๆ กัน

เมื่อปีที่แล้ว เรานัดกับเพื่อนจะไปเที่ยวเชียงคาน จ.เลย กัน 
(เราเคยนัดกันไว้แล้วแต่ทริปนั้นล่มไป เพราะเวลาไม่ตรงกัน ทริปนี้เลยขอแก้ตัว ยังไงก็ต้องไปให้ได้ ..)

ส่งข่าวทั้งโทรศัพท์ ทั้งชวนในเฟสบุ๊ค มีคนสนใจไปตั้ง 4 คนแหนะ...เยอะมาก T^T
โอเค 4 คน ก็ 4 คนวะ..แต่พอถึงเวลาไปจริงๆ เหลือ 3 คนอะ..เพื่อนดันมาติดสัมภาษณ์ฝึกงานอีก เฮ้อ !
ก็เลยคุยกันกับเพื่อนที่เหลือว่าจะเอาไง เพราะถ้าไปก็มีแต่ผู้หญิง 3 คน..สุดท้าย ไปก็ไปวะ
กว่าจะจองตั๋วได้ ยากเย็นแสนเข็ญ..กว่าจะอ้อนขอตังค์แม่ได้ ต้องชักแม่น้ำทั้งห้า 555


  วันเดินทาง 9 ธ.ค. 54   

รอบรถ 15.30 น. (เร็วไปป่ะ ?..แต่ถ้าไม่ไปรอบนี้ ก็ต้องรออีกสองวัน ซึ่งรอไม่ไหวแล้ว)
ขึ้นรถที่หมอชิต ออกเดินทาง ระหว่างทางเป็นไงก็ไม่รู้ เพราะหลับตั้งแต่ขึ้นรถ อิอิ

ตั๋วรถทัวร์ จองไป-กลับ 700 กว่าบาท

  ถึงจุดหมาย 10 ธ.ค. 54  

มาถึงก็ไปที่พักที่เราจองไว้ นอนไปแค่ 4 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ออกมาเดินถนนคนเดิน
แล้วก้ได้คุยกับเพื่อนถึงเรื่องที่พัก ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่า..เปลี่ยนที่นอนเหอะ..
ไม่ได้เรื่องมากหรอกนะ อันที่จริงบ้านพักเค้าก็ดี สะอาดด้วย
แต่..คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก..อ่ะ คนอะไรเค็มชิบหาย..เรื่องมันยาว เอาเป็นว่า ไม่ประทับใจกับที่นี่เลย..
ระหว่างที่ออกมาเดินเล่น ก็หาที่พักใหม่ แล้วก็ได้ เป็นบ้านของป้าคนนึงเค้าให้พักคิดแค่ 550 บาทเอง
ก็เลยกลับไปย้ายขอจากที่เดิมมาที่นี่ ...ทีนี้ก็เที่ยวอย่างสบายใจละ !

จัดการเรื่องที่พักเสร็จ ก็เดินเล่น ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย..ของสวยๆ งามๆ เยอะเลย คนก็เยอะมากกกกก เช่นกัน
เหนื่อยก็กลับบ้าน หายเหนื่อยก็ออกมาเดินใหม่ ... เดินทุกรอบได้ของฝากทุกรอบ 55
ถึงว่าอะ ทำไมตังค์หมดเร็วว

บ้านพักคุณป้าแอ๋ว 550 บาท/คืน
ร้าน "สำมะปิ" แปลว่า เยอะแยะมากมาย ร้านเค้าของเยอะสมชื่อเลยหละ
บ้านแสงจันทร์ ของแนวๆ ทั้งนั้น !
ของที่ระลึกเยอะมาก สวย ราคาพอซื้อได้
ริมแม่น้ำโขง อยู่หลังถนนคนเดิน อากาศดีมากกกกก ^^
ตอนเย็น คนเริ่มออกมาเดินเยอะละ 
ร้านขายของเหมือนกัน มีแต่ของสวยๆ ไม่ให้หมดตังค์ได้ไง จริงมั๊ย :)
ปิดท้ายของวันด้วยการนั่งกินข้าวริมแม่น้ำโขง
ที่ร้าน "นั่งเล่นเล่น" กินไป มือสั่นไป เพราะหนาวมาก


 เช้าวันใหม่ 11 ธ.ค. 54 

05.00 น. ไปภูทอก อากาศหนาวมากกกกกกกกกกกกกกก..ว่าจะไปดูทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ขึ้น
แต่วันนั้นฟ้าเปิด ไม่เห็นหมอกสักแอะ อย่าว่าแต่หมอกเลย พระอาทิตย์ขึ้นตอนไหนยังไม่รู้เรื่อง..
จากนั้นก็ไปแก่งคุดคู้ มัน...ก็สวยดีอ่ะ สวยแบบเรียบๆ ..
ถ้าจะซื้อของฝากต้องซื้อที่นี่ เพราะเป็นแหล่งใหญ่ ราคาถูก 
ของฝากขึ้นชื่อก็คงเป็น "มะพร้าวแก้ว" อ่ะ อร่อยเหาะเลยทีเดียว ! 

"ภูทอก" ตอน 05.00 น. รอดูทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ขึ้น
แต่ไม่เห็นสักกะอย่าง เฮ้อออ !
ต่อด้วย "แก่งคุ้ดคู้"  สวยป่าวไม่รู้ รู้แต่ว่ามันกว้างมากกก

กลับจากแก่งก็มานอนต่อ แล้วก็อาบน้ำ..แล้วก็ไปเดินหาไรกิน เดินเที่ยวต่อ ...

หาของฝากให้พ่อแม่ และเพื่อน เล็กๆ น้อยๆ .. ตามกำลังเงิน

เหนื่อยก็พักร้านนม เก๋ๆ ราคาย่อมเยาว์ นั่งพักผ่อน มองผู้คนเดินผ่านไปมา
บ้างมาเป็นคู่ บ้างมาเป็นแก๊งค์..เห็นแล้วก็คิดถึงเพื่อนนน ถ้ามากันเยอะคงสนุกกว่านี้แน่


บน : ว่าจะออกมาตักบาตร แต่ว่ามันสายไป พระกลับวัดแล้ว 55
กลาง : ตั้งใจจะมากินข้าวร้านนี้ แต่ดูคน.....ร้านอื่นก็ได้ฟะ
ล่าง : มันคือ "ข้าวจี่" ข้าวเหนียวชุบไข่ แล้วย่าง แล้วทาซอสแม็กกี้ 
โปสการ์ดสวยๆ ใบละ 15 บาท
ของน่ารักๆ อีกแล้วว อดใจไม่ไหว สอยสมุดเท่ๆ มา 1 เล่ม
ของว่าง ยามเมื่อย (ไม่ได้หิวหรอก แต่เมื่อย เลยต้องหาร้านนั่ง)
ของขายอีกแล้วคร่าาาาาา ตังค์ไม่มีแล้วคร่าาาาา 55
นักดนตรี กับ ถนนคนเดิน มันของคู่กันจริงๆ
 

พอใกล้ถึงเวลาต้องกลับก็ไปขนของจากบ้านมาที่ร้านป้า (ป้าที่ให้เช่าบ้าน เขาขายของอยู่ที่นี่)
แล้วออกไปหาไรกิน และเวลามันเหลือ เลยออกไปเดินเที่ยวอีกหนึ่งรอบก่อนกลับ
พร้อมซื้อของฝากและถ่ายรูปอีกครั้งนึง..

ร้านนี้ขายของเก่า หายากมาก อยากซื้อ แต่...เงินละมีม๊ายย !
โปสการ์ด ร้าน "ลมรำเพย" 
บน : ร้านกาแฟ เก๋ๆ แต่แพงเว่อ..
ล่าง : ร้านขายของเก่าข้างทาง เก่า สวย ดูดี มีราคา(สูง)

และก็มาถึงเวลาที่ต้องกลับจริงๆ แล้ว ไม่อยากกลับเลยอ่าาาาา T____T 
ร่ำราคุณป้า และก็มารอรถทัวร์ที่ตลาด..ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็ถึงกรุงเทพฯ
เป็นทริปที่สนุกมากกกกก จะไม่มีวันลืมเลย และที่สำคัญจะต้องไปอีกให้ได้..เชียงคาน


ก็ไม่รู้ว่าที่นี่มีเสน่ห์อะไรที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายขนาดนี้
ทั้งที่เป็นแค่ถนนสายเดียว มีแค่ร้านขายของสองข้างทางเท่านั้น..
แต่ถ้าถามฉัน..เสน่ห์ของมันคงอยู่ที่สภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตของคนที่นี่ และอากาศที่ดี
เหมาะสำหรับคนที่อยากหนีเรื่องวุ่นวายในเมืองมาพักผ่อนจริงๆ

ใครที่กำลังหาที่เที่ยวในช่วงอากาศดีดีแบบนี้ เราขอแนะนำ..ไปเลย..ไปเชียงคาน..
แล้วคุณจะรู้สึกประทับใจและหลงรักเมืองนี้ เหมือนเรา.. 

สามสาว ตะลุยต่างแดน 555
ขอบคุณพวกเมิง..ที่ร้อนและหนาวไปด้วยกัน
(งบประมาณที่เราใช้ก็ 3,000 กว่าบาท ถือว่าคุ้มนะ กับประสบการณ์ที่ได้เจอมา)